แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ COD แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ COD แสดงบทความทั้งหมด

รีวิวบริการเก็บเงินปลายทาง COD ไปรษณีย์ไทย & Kerry

! รีวิวนี้ไม่ได้ต้องการที่จะต่อต้านผู้ให้บริการเจ้าไหนทั้งนั้น  เป็นเพียงการรีวิว เพื่อประโยชน์ของคนอาชีพ "แม่ค้าออนไลน์" สุดท้าย แต่ละคนจะเลือกใช้บริการเจ้าไหนก็อยู่ที่ตัวเองนะคะ !!


หลังจากที่เราเปิดร้านขายชุดชั้นในมาได้ระยะหนึ่ง มีลูกค้าหลายคนสอบถามเรื่องบริการเก็บเงินปลายทางซึ่งตอนนั้นต้องบอกเลยว่าเราไม่คิดที่จะทำ
 
เหตุผลคือกลัวการถูกโกง หรือ กลัวว่าลูกค้าจะไม่รับสินค้า  และทำให้เราต้องสูญเสียเงินค่าส่งสินค้าแบบฟรี ๆ (เพราะนั้นหมายถึงกำไร)

แต่ระยะหลังเริ่มไม่ไหวแล้ว ข่าวเรื่องแม่ค้าออนไลน์โกงเงินลูกค้าบ่อยขึ้น ทำให้ลูกค้าเองก็ไม่ค่อยไว้ใจแม่ค้า  ซึ่งเราเองต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบไม่น้อย

จนเริ่มทดลองใช้บริการ COD ของไปรษณีย์ไทย ซึ่งผลตอบรับเรื่องลูกค้าค่อยข้างดี เพราะลูกค้าหลายรายเลือกใช้บริการ COD แม้จะต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิม ที่ร้านขายสินค้าหน้าร้านประมาณ 20% อีก 80% คือการขายออนไลน์ และการขายออนไลน์ 25% ลูกค้าเลือกโอนเงินก่อน แต่อีก 75%  ลูกค้าเลือกใช้บริการ COD ขอสติ๊กเกอร์ได้ที่ทำการไปรษณีย์ได้เลย



จากผลตอบรับที่ดี แน่นอนเราก็ต้องหาช่องทางในการจัดส่งสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางรายอื่น ๆ โดยการทดลองใช้บริการของ Kerry  ขอสติ๊กเกอร์จากจนท.เคอรี่ได้เลย


ที่เลือกใช้ Kerry เพราะการจัดส่งที่รวดเร็วครอบคลุมทุกพื้นที่ (จากข้อมูลส่วนตัวที่เคยส่งก่อนหน้านี้) เอกชนเจ้าอื่น ๆ บางพื้นที่ยังไม่ครอบคลุมทำให้การจัดส่งล่าช้า  ส่วนค่าบริการเรียกเก็บเงินปลายทาง 3% เท่ากับไปรษณีย์ไทยอยู่แล้ว

แต่เมื่อลองใช้บริการแล้ว (ทดลองไป 3 ยอด) บอกได้เลยว่า ขอกลับไปใช้บริการไปรษณีย์ไทยเหมือนเดิมดีกว่า  มาดูกันว่าทำไมถึงบอกว่าใช้บริการของไปรษณีย์ไทยดีกว่าของ Kerry
---------------------------------------------------

เริ่มตั้งแต่ค่าธรรมเนียม 3% ซึ่งไปรษณีย์ไทยจะยังไม่หักเงินเรา ณ ตอนส่งสินค้า ระบบจะทำการหักจากยอดที่เรียกเก็บกับลูกค้าและเมื่อยอดหักเหลือเท่าไหร่จะทำการโอนเข้าบัญชี Wallet ครบทุกบาททุกสตางค์

** เน้นว่าทุกสตางค์จริง ๆ **
ยอด 365 หัก 3% (10.95) = 354.05 บ.😊


ส่วนของ Kerry จนท.จะเรียกเก็บตั้งแต่ตอนเราส่งสินค้าเลย และหากมียอดที่ลงท้ายด้วยจำนวนสตางค์เราจะต้องจ่ายเงินให้ Kerry เต็มจำนวนบาทเท่านั้น

2 ยอดนี้ดีที่ส่งพร้อมกัน ถ้าแยกส่งจะโดนเรียกเก็บยอดแรก 365 หัก 3% (10.95) โดนแน่ ๆ 11 บาท // ยอดที่สอง 370 หัก 3% (11.10) โดนแน่ ๆ 12 บาท

บางคนอาจจะมองว่ายอดแค่ไม่กี่สตางค์เอง แต่ในความเป็นจริงลองคำนวณเล่น ๆ ดูว่าหาก Kerry ได้ส่วนต่างสตางค์ไปฟรี ๆ แบบนี้ต่อ 1 บิล

ถ้าบิลละ แค่ 0.50 สตางค์ 1 สาขามีสัก 10 บิล / วัน เท่ากับเงิน 5 บาท แล้ว Kerry มีกี่สาขา แล้วลองคูณจำนวนวันใน 1 เดือนดูสิ

สมมุติมมีแค่ 100 สาขาทั่วประเทศ (ซึ่งในความเป็นจริงเยอะกว่านี้แน่นอน) วันละ 10 บิล ระยะเวลา 1 เดือน  (0.5×10 = 5 / 5×30 = 150 / 150×100 = 15,000 บาท)     😱😱 Oh My God 😱😱

---------------------------------------------
จบจากค่าบริการเรียกเก็บเงินปลายทางก็มาต่อกันที่การจัดส่ง และยอดเงินที่ร้านค้าจะได้รับ วันนี้ยกตัวอย่างมาให้ดูที่ละ 2 เคส ลองดูตามภาพนะคะ

มาเริ่มที่การบริการของไปรษณีย์ไทยก่อนแล้วกัน


ส่งสินค้า 23.7.63 (เย็น) ถึงมือลูกค้า 24.7.63 เงินเข้า Wallet 28.7.63 (ต้องถอนออกไปเข้าบัญชีธนาคารก่อนนะถึงจะได้รับเงินจริง ๆ) โอนจาก Wallet เข้าบัญชี 28.7.63 เงินเข้าบัญชี 29.7.63 (สำเร็จ)



ไปรษณีย์เคสที่ 2

ส่งสินค้า 25.7.63 (เช้า) ถึงมือลูกค้า 27.7.63 เงินเข้า Wallet 29.7.63 (ต้องถอนออกไปเข้าบัญชีธนาคารก่อนนะถึงจะได้รับเงินจริง ๆ) โอนจาก Wallet เข้าบัญชี 29.7.63 เงินเข้าบัญชี 30.7.63 (สำเร็จ)


--------------------------------------------

มาต่อกันที่การบริการของ Kerry

ส่งสินค้า 22.7.63 (เย็น) ถึงมือลูกค้า 25.7.63  ได้รับ email 30.7.63 และมีเงินเข้าบัญชี 31.7.63


Kerry เคสที่ 2


ส่งสินค้า 22.7.63 (เย็น) ถึงมือลูกค้า 27.7.63 เคสนี้ไม่มี email แจ้ง แต่มีเงินเข้าบัญชีวันที่ 3.8.63
และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราตัดสินใจกลับไปใช้บริการ COD ของไปรษณีย์ไทย เพราะอาชีพแม่ค้าอย่างเรา ร้านต้องอาศัยเงินหมุนเวียน



การขายสินค้าแบบเรียกเก็บเงินปลายทาง ทำให้แม่ค้าต้องมีเงินสำรองที่เพิ่มขึ้น (เพราะกว่าจะได้เงินกินระยะเวลาหลายวัน)  ฉะนั้นแบบไหนที่ขายสินค้าได้ดี และได้เงินเร็วมันย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน

** อันนี้ต้องบอกก่อนว่าปกติเราเลือกใช้บริการส่งสินค้าทั้ง 2 เจ้านี้อยู่แล้ว โดยลูกค้าของร้านจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะให้จัดส่งกับเจ้าไหน (ค่าบริการจัดส่งที่ต่างกัน และ บริการจัดส่งที่รวดเร็วต่างกัน)

ลองใช้บริการ COD (เก็บเงินปลายทาง) ของไปรษณีย์ไทย


ตั้งแต่เปลี่ยนอาชีพมาเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้า ชุดชั้นในที่บ้าน เปิดหน้าร้านขายด้วยก็จริง แต่ต้องยอมรับว่าร้านไม่ได้อยู่ในเขตชุมชน หรือเป็นสถานที่คนพลุกพล่านมาก

ดังนั้นยอดขายหน้าร้านอย่างเดียวคงไม่พอ การขายของออนไลน์ก็ต้องเข้ามาเสริม ซึ่งช่วงแรก ๆ ขายได้ค่อนข้างดีมาก แต่มาพักหลัง ด้วยภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยรอบด้านหลาย ๆ อย่างทำให้ยอดขายตกลงมาค่อนข้างเยอะ

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เปิดร้านมา ลูกค้ามักถามว่ามีบริการเก็บเงินปลายทางหรือไม่ พอเราบอกยังไม่มีบริการลูกค้าก็จะไม่ซื้อเลย ข้อนี้เราก็พอเข้าใจลูกค้านะ เพราะสมัยนี้แม่ค้าออนไลน์โกงก็เยอะ มีข่าวแต่ละทีร้านเงียบกันเลย ซึ่งเรายอมรับว่าไม่เคยคิดอยากจะทำบริการเก็บเงินปลายทาง

สาเหตุ (ส่วนตัว)

1. ความเสี่ยง จากกรณีที่ลูกค้าจะไม่ยอมรับสินค้า เมื่อถึงปลายทาง โดยที่เราจ่ายค่าจัดส่งไปแล้ว ไม่สามารถเรียกส่วนนี้กลับคืนได้

2. ความล่าช้าของระบบการโอนเงินคืนให้ร้าน เพราะว่าเงินต้องอยู่ในระบบออนไลน์อย่างน้อย 5-7 วัน (นั่นหมายถึงเงินหมุนเวียนของร้าน)

3. เป็นการเพิ่มภาระค่าจัดส่งสำหรับลูกค้า เพราะการเก็บเงินปลายทาง คงไม่มีร้านไหนที่จะเอามาเป็นภาระของตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

แต่เมื่อยอดขายลดลง เราก็ต้องเลือกที่จะเพิ่มช่องทางในการขาย

วันนี้ตัดสินใจทดลองเปิดใจขายสินค้า "แบบเก็บเงินปลายทาง" เริ่มที่การใช้บริการของไปรษณีย์ก่อน (ช่วงนี้ก็จะเลือกลูกค้านิดหน่อยเอาที่ดูแล้วไว้ใจได้นะคะ ยังกลัว ๆ อยู่)



ถามว่าทำไมไม่ใช่ของเอกชน เช่น Kerry , SCG , J&T ง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะเดิมค่าจัดส่งของเอกชนก็แพงกว่าของไปรษณีย์อยู่แล้ว และหากเพิ่มค่าใช้จ่ายเก็บเงินปลายทางอีก จะยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้ลูกค้า ** แต่ก็มีบริการไว้รองรับนะ กรณีเจอลูกค้าที่กระเป๋าหนัก ยินดีจ่าย **

ขั้นตอนการสมัครก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ง่ายมาก แค่เราโหลดแอฟ Wallet@Post

ทำตามขั้นตอนที่ระบุให้ครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้นเอง

การส่งสินค้าแบบ COD (ต้องเป็นการจัดส่งแบบ EMS เท่านั้นนะคะ)

1. คำนวณยอดเงินให้ดีนะคะ เช่น สินค้าเราราคา 300 บาท ปกติ เราคิดค่าจัดส่งแบบ EMS 50 ยอดรวม 350 แต่ถ้าใช้บริการ COD ต้องบวกเพิ่มอย่างน้อย 11 บาท เราถึงจะได้เงินเข้ากระเป๋า 350 ถ้าใจดีหน่อยก็บวกเพิ่ม 10 บาท ลองมาคำนวณดูนะคะ ก่อนแจ้งยอดเงินกับลูกค้า (กรณีนี้แจ้งยอดกับลูกค้าปลายทางไว้ที่ 360 บาท)

สินค้ารวมราคาทั้งสิ้น 300 บาท

ค่าจัดส่งเก็บเงินปลายทาง 60 บาท

รวมทั้งสิ้น 360 บาท

หักค่าธรรมเนียม COD 3% 10.8 บาท (360*0.03)

เงินที่จะถูกโอนเข้า Wallet 349.2 บาท

เห็นไหมค่ะ นี่แค่ยอดเดิม 350 ขนาดเราคิดเพิ่มจากลูกค้าแล้ว 10 ยอดจริงของเรายังหายไปจากเดิม 0.80 บาท

2. นำสินค้าไปส่งที่ไปรษณีย์ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่า ส่งแบบเก็บเงินปลายทาง เจ้าหน้าที่จะให้สติ๊กเกอร์ COD ให้เรามาเพื่อเขียนเบอร์โทรที่ใช้สมัคร Wallet และกรอกยอดเงินที่ต้องการเรียกเก็บปลายทาง





3. เราต้องจ่ายค่าจัดส่งตามจำนวนปกตินะคะ



4. หลังจากนั้นก็รอเจ้าหน้าที่จัดส่ง ไม่เกิน 1-3 วันค่ะ เพราะเป็นการจัดส่งแบบ EMS จะรวดเร็วอยู่แล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่จัดส่งและได้รับเงินแล้ว จะมีข้อความมาที่เบอร์ของเราว่าได้ทำการจัดส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว


จากเคสตัวอย่างจะเป็นว่าเราส่งสินค้าเย็นวันที่ 15.01.63 ซึ่งต้องนับวันส่งเป็น 16.01.63 (วันพฤหัสบดี) และลูกค้าได้รับสินค้าช่วงบ่ายวันที่ 17.01.63 (วันศุกร์) แต่มีข้อความแจ้งว่าลูกค้าชำระเงินแล้ว วันที่ 18.01.63 (วันเสาร์)

** ต้องทำใจตรงนี้นะคะ ไปรษณีย์ไม่นับวันหยุด **

5. จากนั้นเราต้องรอให้ยอดเงินหลังหักค่าธรรมเนียมเข้ามาในบัญชี Wallet ของเรา ยอดเงินเข้ามาวันจันทร์ที่ 20.01.63


เงินเข้ามาแล้วสามารถถอนเงินออกได้เลยค่ะ ขั้นตอนนี้จะมีค่าธรรมเนียมธนาคารอีกนะคะ ยกเว้นของธนาคารไทยพาณิชย์จะฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม





ถอนเงินไปบัญชีไหนก็ได้ ของเราเลือกถอนเงินเข้าบัญชีไทยพาณิชย์ของแฟน (เพราะของเราไม่มีบัญชีของไทยพาณิชย์นั่นเอง)

ขั้นตอนนี้ต้องรออีก 1-2 วันทำการนะคะ เงินถึงจะเข้าบัญชีธนาคาร




เห็นไหมค่ะว่ากว่าจะได้เงินจากกรณีขายสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางกว่าจะได้เงินจริง ๆ ก็ 5-7 วัน นี่ยังไม่รวมกรณีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะปฏิเสธรับสินค้าอีกนะคะ ของจะถูกตีกลับให้เรา แต่ค่าส่งที่เราจ่ายไปก่อนหน้านี้คือไม่สามารถเรียกเก็บกับใครได้เลย

เป็นกำลังใจให้กับแม่ค้าออนไลน์ทุกคนนะคะ ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ มีวิธีไหนที่จะเพิ่มยอดขายได้ เราก็คงต้องลองเสี่ยงดู

บทความโดย ผู้หญิงพันธุ์มินิ
Advertisement